โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
แนะนำโรงเรียนเทพศิริทร์ เชียงใหม่
โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่
ลำดับที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์
ลำดับที่ 2 โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า
ลำดับที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี
ลำดับที่ 4 โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี
ลำดับที่ 5 โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค
ลำดับที่ 6 โรงเรียนเทพศิรินทร์ลาดหญ้า กาญจนบุรี
ลำดับที่ 7 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ขอนแก่น
วิสัยทัศน์ของโรงเรียน
มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี มีวิสัยทัศน์ไกล ใจกว้าง ร่างสมาร์ท มารยาทงาม
พุทธสุภาษิต
"น สิยา โลกวฑฺฒโน" แปลว่า ไม่ควรเป็นคนรกโลก
ตราประจำโรงเรียน
ช่อรำเพย หมายถึง ดอกไม้เนื่องในพระนามของสมเด็จพระเทพศิริทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 4 พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุขฯ พระนามเดิมของพระองค์ คือ "หม่อมเจ้าหญิงรำเพย"
สีประจำโรงเรียน
สีเขียว-เหลือง สองแถบ ซึ่งเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี ตามตำราพิชัยสงครามพร้อมทั้งเป็นสีของใบและดอกรำเพย
กำเนิดตึกแม้นนฤมิตร


พ.ศ. ๒๔๓๘ เริ่มสร้างอาคารเรียนบริเวณหน้าวัด๒หลังคือตึกแม้นนฤมิตร อีกหลังหนึ่งคือตึกโชฏึกเลาหะเศรษฐี



สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์เล็ก ในองค์สมเด็จพระนางเจ้าเทพศิรินทราบรมราชินี ทรงดำริจะสร้างถาวรวัตถุขึ้นภายใน วัดเทพศิรินทราวาส เพื่ออุทิศพระราชกุศล สนองพระเดชพระคุณ พระราชมารดาประจวบกับ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรมลงจึงทรงกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวขอพระราชทานการสถาปนา และ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต สร้างอาคารเรียนขึ้น ในวัดเทพศิรินทราวาส และทรง ได้ชักชวนข้าราชการ ซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคย และได้พึ่งพระเดชพระคุณใน องค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ให้ร่วม บริจาคทรัพย์ เพื่อสร้างอาคารเรียน และ บูรณะศาลาการเปรียญ



๑. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงพระราชทานทุนทรัพย์บริจาค ๑๕,๐๐๐ บาท
๒. พระนานรรัตน์ราชมานิต (โต มานิตกุล) บริจาค ๑๕,๐๐๐ บาท
๓. หลวงเจริญราชธน ภายหลังเป็นพระยาโชฏึกราชเศรษฐี (มิ้น เลาหะเศรษฐี) บริจาค ๑๕,๐๐๐ บาท
รวมเป็นเงิน๔๕,๐๐๐ บาท ปรากฎหลักฐานจากจดหมายที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ลงวันที่๓ กันยายนร.ศ. ๑๒๐ว่าได้ให้ช่าง กะราคาก่อสร้างอาคารโรงเรียนวัดเทพศิรินทราวาส และ มิสเตอร์แฟร์ดโดได้ตรวจสอบรายการเห็นว่าตามราคาที่มิสเตอร์บรูโน รับทำนั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานทุนทรัพย์สมทบอีก เมื่อการ ก่อสร้างตึกแม้นนฤมิตรจวนจะแล้วเสร็จนั้น ทางโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มีเหตุจำเป็นที่จะต้องย้ายออกจากพื้นที่ องค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริจะย้าย โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มาอยู่ที่ตึกแม้นนฤมิตร







จากหลักฐานจดหมายเหตุพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ลงวันที่ ๓ กันยายน ร.ศ. ๑๒๐ มีข้อความเขียนอีกว่า
"รุปพรรณสันฐาน แลราคาที่จะว่าตกลงกันไว้ไม่เป็นติขัดขวางอันใด มีข้อน่าเสียดายอยู่นิดหน่อยที่เรียกชื่อว่า โรงเรียนสวนกุหลาบ เพราะโรงเรียนได้ตั้งแต่แรกที่ได้เกิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว จะสูญเสียไปก็คราวนี้แหละ เพราะเหตุที่ไปตั้งอยู่ที่ตึกแม้นนฤมิตร์ซึ่งเงินของเราก็ได้ออกจริงๆแต่ของเราก็มั่งนี่จะทำอย่างไรให้ลองนึกดูที"
จดหมายเหตุฉบับนี้แสดงพระราชประสงค์ของ องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าตึกเรียนนี้พระองค์ ได้บริจาคเงินแต่ก็เป็นเพียงบางส่วนจึงไม่ควรที่จะใช้นามว่าโรงเรียนสวนกุหลาบเหมือนโรงเรียนแรกเดิมจึงเป็นเหตุ ให้กรมศึกษาธิการส่งจดหมาย ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ร.ศ.๑๒๑ ถึงมิสเตอร์บรูโน นายช่างผู้รับเหมาก่อสร้างให้ เปลี่ยนนามที่หินแกะจากโรงเรียนสวนกุหลาบ เป็น โรงเรียนเทพศิรินทร์

จากจดหมายเหตุทั้งสองนี้ทำให้เกิดเป็นการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามแก่โรงเรียนแห่งนี้ว่า
"โรงเรียนเทพศิรินทร์" และนามแก่ตึกที่สร้างว่า"ตึกแม้นนฤมิตร"
การสร้างตึกแม้นนฤมิตรนั้นทุนรอนที่รวบรวมยังไม่เพียงพอดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงบริจาค สมทบอีกครั้งและกระทรวงธรรมการลงทุนเพิ่มอีก ๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนตึกโชฏึกเลาหะเศรษฐี ซึ่งเป็นที่เรียนวิทยาศาสตร์ ตึกหลังนี้สร้างด้วยทุนของพระยาโชฏึกราชเศรษฐี (มิ้น เลาหะเศรษฐี) เป็นเงิน ๑๑,๐๐๐ บาท ตึกแม้นนฤมิตรและตึก โชฏึกเลาหะเศรษฐีสร้าง เสร็จสมบูรณ์และได้เปิดใช้เป็นโรงเรียนเมื่อ วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๕

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมหลวงนริศรานุวัติวงศ์ เป็นผู้เขียนแบบโรงเรียนและกะผังแผนที่



พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรมงคล ทรงคำนึงถึงสถานศึกษาแห่งนี้ซึ่ง สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช สมเด็จพระชนกของพระองค์ทรงบริจาคสร้าง ตึกแม้นนฤมิตรและ ทรงอุปการะมาโดยตลอด อีกทั้งตึกแม้นนฤมิตรยังเป็นที่บรรจุอัฏฐิ และ ประดิษฐานรูปหล่อมารดาของพระองค์ซึ่งตึกนี้ใช้เป็น ที่ศึกษาเล่าเรียนตลอด มานับว่าอำนวยประโยชน์แก่กุลบุตรเป็นอย่างยิ่ง สมพระเจตนาแห่งองค์สมเด็จพระชนกแล้วอนึ่งสมเด็จ พระราชปิตุลาฯ ทรงสร้างด้วยพระประสงค์ที่ว่า จะมอบตึกหลังนี้ถวายให้เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดเทพศิรินทราวาส แต่ยังมิได้ ถวายก็เสด็จสู่ทิวงคตเสียก่อนเมื่อเป็นดังนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรมงคล ผู้ได้รับมรดกตกทอดมาถือเป็น หน้าที่ที่จะต้องรับภาระต่อไปจนถึงที่สุดเพื่อตัดความกังวลในเรื่องนี้พระองค์ทรงถวายไว้เป็นสมบัติของ วัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่๑๐มีนาคมพ.ศ. ๒๔๘๑



ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ( พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘ ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่๒ โรงเรียนเทพศิรินทร์ และวัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งอยู่ใกล้สถานนีรถไฟหัวลำโพง จึงได้รับภัยจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่๑๐ กรกฏาคมพ.ศ.๒๔๘๘ ตัวตึกอาคารในบริเวณโรงเรียนเสียหายมาก โดยเฉพาะตึกแม้นนฤมิตร ตึกโชฏึกเลาหะเศรษฐี ห้อง พละศึกษาห้องอาหาร และเรือนนักการภารโรงเสียหาย ทั้งหมด ส่วนตึก เยาวมาลย์อุทิศ และตึกปิยราชบพิตรปดิวรัดา เสียหาย น้อยกว่าขณะที่เกิดสงครามได้มีการย้ายที่ทำการสอนไปยังที่โรงเรียนสอนชั่วคราว ซึ่งปลูกเป็นโรงแถวมุงจากที่อำเภอบางกะปิ แต่ต่อมาภายหลังโรงเรียนนั้นได้ถูกระเบิดอีกจึงต้องย้ายโรงเรียนชั่วคราวไปไกลถึงที่บางบ่อ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปรา การหลังจากสงครามยุติลงแล้ว ตึกเรียนของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้รับการเสียหายอย่างมากจึงต้องไป ทำการสอนที่สุสาน หลวงของ วัดเทพศิรินทราวาส โดยอาศัยพลับพลาอิศริยาภรณ์ กับศาลาโถง ในบริเวณสุสานหลวงของวัด เป็นการชั่วคราว


เมื่ออาคารเรียนถูกระเบิดพังเสียหายไม่สามารถที่จะใช้ทำการสอนได้ ทางกระทรวงศึกษาธิการได้รับความร่วมมือจาก สมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ และความอุปการะของวัดเทพศิรินทราวาส โดยที่ทางวัดได้เชิญหม่อมหลวงชูชาติ กำภู ผู้เป็นนักเรียนเก่า ซึ่งขณะนั้นได้ดำรงอธิบดีกรมชลประทาน มาปรึกษาเห็นพ้องต้องกันว่ายังพอจะซ่อมแซมได้ในส่วน ของตึกเยาวมาลย์อุทิศ และ ตึกปิยราชบพิตรปดิวรัดา จึงได้มอบให้อธิบดีกรมชลประทาน เป็นผู้อำนวยการจัดซ่อมโดย ใช้ทุนบริจาคร่วมกันเป็นเงิน ๒๑๐,๖๗๒.๙๙บาท จนสามารถเปิดใช้ทำการเรียนการสอนได้เมื่อกลางปีการศึกษา พ.ศ. ๒๔๘๙ จึงได้ย้ายนักเรียนจากสุสานหลวงไปเรียนที่ตึกทั้ง๒หลังที่บูรณะเสร็จแล้ว และยังมีนักเรียนบางส่วนไปเรียนที่ ตึกนิภานภดล และ ที่ศาลาโถงข้างซุ้มประตูบ้าง
ภายหลังรัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณในการสร้างตึกแม้นนฤมิตร ตึกโชฎึกเลาหะเศรษฐี ขึ้นใหม่ โดยเป็นเงินประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท และ สำหรับตึกโชฎึกเลาหะเศรษฐีนั้น คุณหญิงเพิ่ม โชฎึกราชเศรษฐี ได้ร่วม บริจาคทุนทรัพย์สมทบด้วย
สำหรับตึกนิภานภดลนั้นได้ถูกระเบิด ลงตรงมุขด้านตะวันออกทำให้มุขนี้พังเสียหายตลอดทั้งหลัง โดยเฉพาะกระเบื้อง ประตูหน้าต่าง และ เพดานเกือบไม่มีที่เหลือเลยวัดได้เริ่มซ่อมแซมมุขที่พังให้พอที่จะวางเครื่องบนได้และ ตีระแนงมุง หลังคาตลอดทั้งหลังก่อน แล้ว ตีเพดานเป็นบางห้อง ทำประตูให้เปิดปิดได้พออาศัยเป็นที่เรียนชั่วคราวสิ้นเงินค่าซ่อม ประมาณ ๔๐,๕๕๖บาท และยังต้องซ่อมอีกภายหลังอีกประมาณ ๒๐,๐๐๐บาท
ระหว่างที่กำลังสร้างตึกแมันนฤมิตร และ ตึกโชฏึกเลาหะเศรษฐี ขึ้นใหม่นั้นสถานที่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนการ สอน จึงจำเป็นต้องปลูกโรงไม้ไผ่มุงจาก ที่ริมกำแพงด้านหน้าโรงเรียนใช้เป็นห้องเรียนมัธยมชั่วคราว


ในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๙๑ ทางราชการได้เริ่มลงมือสร้างตึกแม้นนฤมิตรหลังใหม่ โดยคงลักษณะกอธิครูปแบบเดิมไว้ เป็นส่วนมากมีนายเพี้ยน สมบัติเปี่ยม เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบและดัดแปลงขยายห้องเรียนเพิ่มอีก ๔ห้องรวมเป็นทั้งหมด ๑๒ห้อง ประมูลราคาที่ ๙๖๔,๐๐๐บาท ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ๑๐เดือนโครงสร้างต่างๆของอาคารเรียนเป็นคอนกรีตเสริม เหล็ก พื้นล่างภายในห้องเรียนทั้งหมดราดคอนกรีต แล้วปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์พื้นห้องโถง และ เฉลียงใช้หินเกร็ดขัดมัน ส่วนในห้องชั้นบนทุกห้องปูด้วยไม้สักเข้าลิ้นเฉลียงใช้หินเกร็ดขัดมันเครื่องบนหลังคาใช้ไม้เต็งรัง หลังคามุงด้วยกระเบื้อง รอนคู่วิบุลย์ศรี ส่วนฝ้าปุด้วยเซโลเท็กซ์ทับแนวด้วยไม้สักทุกห้องมีโคมไฟฟ้า เพื่อใช้ในเวลากลางคืนด้วยห้องพักครู และ ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ และ ผู้ช่วยติดพัดลมเพดานกระดานดำทุกห้อง(ใช้เซโลเท็กซ์ทาสีดำ)อาคารหลังนี้จัดให้เป็นที่ เรียนสำหรับชั้นมัธยมปลายใช้เป็นห้องเรียน ๑๐ ห้อง ห้องพักครู๑ห้อง ห้องประวัติศาสตร์๑ห้อง และ ได้จัดห้องเล็กชั้นล่าง ๑ ห้อง เป็นห้องสำหรับปฐมพยาบาลชั้นบนมีสะพานเชื่อมติดต่อกับตึกโชฏึกเลาหะเศรษฐีระหว่างตึกแม้นนฤมิตร และ ตึกเยาวมาลย์อุทิศมีการติดโทรศัพท์เพื่อให้สามารถทำการติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว


ตึกแม้นนฤมิตรได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ เมื่อปลายเดือนกันยายนพ.ศ.๒๔๙๒ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ขนานนามตึกนี้ว่า แม้นศึกษาสถาน ทางสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ ร่วมกับโรงเรียนเป็นเจ้าภาพในพิธีเปิดตึกแม้นนฤมิตรหลังใหม่ โดย ได้ทูลเชิญ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๙ เสด็จมาทรงเปิดแพรคุมนามตึกเรียน และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้ไขกุญแจเปิดตึก เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๒
แต่เดิมครั้งก่อนเกิดสงครามนั้น ด้านหลังตึกแม้นนฤมิตรจะมีอาคารไม้ ซึ่งอาคารไม้หลังนี้ได้รับความเสียหายไปด้วยจากภัย ของมหาสงคราม จนกระทั่งใน ปีพ.ศ. ๒๕๐๔ ทางกระทรวงศึกษษธิการ จึงได้จัดงบประมานจำนวน ๙๓,๐๐๐ บาทเพื่อทำการ สร้างอาคารไม้นี้ขึ้นมาใหม่ และ ได้เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยพระธรรมธัชมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสองค์ที่๖ ขนามนามอาคารนี้ว่า"หัตถศิลป์"
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554
โครงการเทพฯเป็นหนึ่ง (ALL DEB IN ONE)
ALL DEB IN ONE
โรงเรียน | ตัวย่อ | วันที่ก่อตั้ง | อายุ | จังหวัด | |
เทพศิรินทร์ เทพศิรินทร์ ร่มเกล้า เทพศิรินทร์ คลองสิบสาม ปทุมธานี เทพศิรินทร์ นนทบุรี เทพศิรินทร์ พูแค สระบุรี เทพศิรินทร์ ลาดหญ้า กาญจนบุรี เทพศิรินทร์ ขอนแก่น เทพศิรินทร์ เชียงใหม่ เทพศิรินทร์ 9 เทพศิรินทร์ สมุทรปราการ | ท.ศ. ท.ศ.ร. ท.ศ.ป. ท.ศ.น. ท.ศ.พ. ท.ศ.ล. ท.ศ.ข. ท..ช. ท.ศ.๙. ท.ศ.ส. | 15 มีนาคม 2428 26 มีนาคม 2522 25 มิถุนายน 2535 19 มกราคม 2536 9 มิถุนายน 2546 20 มิถุนายน 2548 24 มกราคม 2549 9 ธันวาคม 2550 3 ธันวาคม 2551 15 กุมภาพันธ์ 2551 | 126 29 19 18 8 6 5 4 3 3 | กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ปทุมธานี นนทบุรี สระบุรี กาญจนบุรี ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงใหม่ สมุทรปราการ |
กรรมของโครงการเทพฯเป็นหนึ่ง (ALL DEB IN ONE) มีดังนี้
1.กิจกรรมค่ายพัฒนาผู้นำเยาวชนเทพศิรินทร์ (Knowledge Camping Debsirin)
2.กิจกรรมชุมนุมลูกเสือเทพศิรินทร์สัมพันธ์(Debsirin Jamboree Camp)
3.กิจกรรมค่ายอบรมสัมมนาพัฒนาผู้นำองค์กรนักเรียนเทพศิรินทร์(Leading student Debsirin Camp)
4.กิจกรรมค่ายเชียร์(Cheer DEB)
5.กิจกรรมบล็อกคอร์ส(Art Debsirin Camp)

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)